ผลิตภัณฑ์ของ PGP Gold Star

ผลิตภัณฑ์ของ PGP Gold Star
PGP GOLD STAR ซื้อเองทางแอป SHOPEE ตอนนี้ถูกมากๆ ครับ ขายราคาสมาชิกก็ยังสู้ราคาในแอปไม่ได้เลยครับ ดังนั้น ซื้อในแอปเถอะครับ 5555

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Enzyme Gold - N บริษัท PGP GOLD STAR (เจาะลึกเรื่องของเอนไซม์)


GOLD - N (โกลด์ เอ็นไซม์ : Enzyme ธัญพืช เพื่อสุขภาพ) 

เอ็นไซม์ธรรมชาติจากธัญพืช เพื่อสุขภาพที่ดี มีภูมิต้านทานโรค เลขที่ อย. 10-1-00653-1-0064 ผลิตโดยบริษัทสยามไบโอเบสท์จำกัด 304 ซอยลาดพร้าว 94 (ปัญจมิตร) ถนนลาดพร้าว แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กรุงเทพ 10310  



อาหารที่ช่วยสร้างพลังแห่งชีวิตที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ อุดมไปด้วยพลังงาน และโปรตีนที่ช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค ป้องกันการเกิดโรคต่างๆ เช่นภูมิแพ้ หัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง โรคภูมิแพ้ตัวเอง (โรค SLE) และอื่นๆ

ถั่วแดง ช่วยการไหลเวียนของเลือด ลดการอักเสบ บวม ขับปัสสาวะ
ข้าวหอมมะลิ มีเกลือแร่ และวิตามินต่างๆมากกว่า 20 ชนิด เสริมสร้างร่างกายให้สมบูรณ์
ถั่วเหลือง ช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดอัตราเสี่ยงของโรคหัวใจ 
ลูกเดือย ช่วยบำรุงม้าม ปอด แก้ท้องเสีย กระเพาะอาหารและลำไส้ แก้โรคปวดข้อ ยับยั้งการเติบโตของเนื้องอก
งา อุดมไปด้วยโปรตีน ช่วยสร้างกล้ามเนื้อ เม็ดเลือด เส้นผม ขน และฮอรโมนต่างๆ 

การผลิตเอนไซม์นี้จะผ่านกระบวนการไฮโดรไลซิส (Hydrolysis) ทำให้เซลล์ นำสารอาหารไปใช้ได้ทันที โดยไม่ผ่านกระบวนการย่อย ให้พลังงาน ฟื้นฟูร่างกายได้ทันที จึงรู้สึกได้ถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็ว 



เอนไซม์ คือสารโปรตีนเป็นตัวเร่งการทำงานของระบบต่างๆในสิ่งมีชีวิตทำให้เซลล์เป็นล้านๆเซลล์,เนื้อเยื่อของเหลวและอวัยวะต่างๆทำงานได้อย่างปกติ หากร่างกายขาดเอนไซม์หรือปริมาณเอนไซม์ลดลงจะทำให้การทำงานของระบบอวัยวะต่างๆในร่างกายผิดปกติ บางครั้งทานอาหารที่มีประโยชน์ราคาแพงแค่ไหนร่างกายก็นำไปใช้ไม่ได้ถ้าเอนไซม์บกพร่องเป็นสาเหตุของการเกิดโรคร้ายต่างๆ

เอนไซม์ที่มหัศจรรย์เหล่านี้ทำหน้าที่สำคัญ 2 อย่าง คือ ย่อยสลายอาหารให้เล็กลงพอที่จะผ่านเซลล์ผนังลำไส้ แล้วสารอาหารเหล่านี้ก็เข้าสู่กระแสเลือดต่อไป การย่อยอาหารเป็นหน้าที่สำคัญอย่างยิ่งของร่างกาย เมื่อเรารับประทานอาหาร เอนไซม์ย่อยอาหารจะถูกดึงมาจากทุกระบบของร่างกายในทันทีเพื่อทำการย่อยอาหารแต่ทว่าเอนไซม์ย่อยอาหารเหล่านี้ก็ยังมีหน้าที่อื่นๆอีกในการที่จะซ่อมแซม ควบคุม และกระตุ้นการทำงานของระบบอื่นๆของร่างกายด้วย แต่ระบบเหล่านี้ จำเป็นที่จะต้องหยุดทำงานชั่วคราวเพื่อส่งเอนไซม์ไปให้ระบบย่อยอาหาร วิธีแก้อย่างหนึ่งคือ รับประทานเฉพาะอาหารที่ไม่ผ่านการปรุงให้สุก อาหารก็จะมีเอนไซม์เพียงพอที่จะย่อยตัวเองอยู่แล้ว อีกวิธีคือ รับประทานเอนไซม์เสริมสกัดจากพืช บรรจุในแคปซูลหรือเอนไซม์ผงอย่าลืมว่าการย่อยคาร์โบไฮเดรต ที่ไม่สมบูรณ์จะเกิดการหมักในลำไส้ หากเป็นอาหารกลุ่มไขมัน พวกผลิตภัณฑ์จากนม น้ำมันต่างๆ ของทอด จะเหม็นหืน และถ้าเป็นกลุ่มโปรตีน เช่นเนื้อสัตว์ ไก่ ปลา ถั่ว ต่างๆ ก็จะเน่า จึงไม่น่าแปลกใจเลยถ้าคนส่วนใหญ่ในสังคมเรานี้จะมีปัญหาเรื่อง ท้องผูก แก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ ลมหายใจเหม็น

อีกบทบาทหนึ่งของเอนไซม์คือรักษาระบบการเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้มีประสิทธิภาพสูงสุด อันได้แก่ สลายไขมัน ลำเลียงอาหารเข้าสู่เซลล์ แจกจ่ายพลังงานไปยังเซลล์ที่ต้องการ ทุกกลไกของร่างกายตั้งแต่การสร้างกล้ามเนื้อกระดูก ต่อมต่างๆ และเส้นประสาท ไปจนถึงการกำจัดพิษออกจากร่างกาย ล้วนต้องอาศัยการทำงานของเอนไซม์ทั้งสิ้น จึงอาจกล่าวได้ว่าเอนไซม์เป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตจากธรรมชาติ
เอนไซม์สามารถผลิตได้ในร่างกายของมนุษย์โดยตับอ่อน ซึ่งเป็นอวัยวะที่ผลิตเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยอาหารมากที่สุด แต่ถึงแม้เอนไซม์จะถูกผลิตได้โดยตับอ่อน แต่เราควรคำนึงถึงเอนไซม์ที่มีอยู่ในอาหารเพื่อช่วยในกระบวนการย่อยอาหารร่วมกับเอนไซม์ในร่างกายด้วยเพราะมนุษย์ทุกคนมีความสามารถในการผลิตและใช้เอนไซม์อย่างจำกัด เสมือนกับพลังงานที่สะสมอยู่ในแบตเตอรี่ หากใช้เอนไซม์สิ้นเปลืองอาจนำไปสู่ภาวะพร่อง ทำให้เกิดการเจ็บป่วยของสภาพร่างกายได้


เมื่อชีวิตคือการทำงานร่วมกันของเอนไซม์อย่างมีระบบ เมื่อเอนไซม์เสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว ก็หมายถึงความชราเกิดขึ้นกับร่างกายของเรา ก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ ที่สำคัญต่อการมีชีวิต ส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วย จนถึงร่างกายทรุดโทรมและตายได้ทำให้เห็นได้ว่า เอนไซม์ มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพและร่างกายอย่างไร การเสริมเอนไซม์จากอาหารเพื่อช่วยยืดอายุของเซลล์ และลดการทำงานของตับอ่อนในการผลิตเอนไซม์ จึงเสมือนเป็นอีกทางเลือกในการดูแลสุขภาพของคุณ
หากร่างกายขาดเอนไซม์หรือปริมาณเอนไซม์ลดลง
จะทำให้การทำงานของระบบต่าง ๆ เช่น การย่อยอาหาร การขับถ่าย การซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ การขจัดสารพิษของร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันระบบเลือดในร่างกายผิดปกติ


จะทราบได้อย่างไรว่าเราขาดเอนไซม์
-        รู้สึกเหนื่อยหลังจากกินอาหารมื้อหนัก
-        มีกลิ่นปาก
-        อ่อนเพลียง่ายเป็นประจำ
-        มีอาการของโรคภูมิแพ้ง่ายถึงขนาดหอบหืด
-        น้ำหนักตัวเพิ่มง่าย
-        เวลาเป็นแผลจะหายช้า
-        ลมแน่นท้องผายลมมีกลิ่นเหม็น
-        อุจจาระจมน้ำและเหม็นมาก
-        ท้องผูกท้องขึ้นท้องเฟ้อบางครั้งมีอาการจุกเสียด


หน้าที่ของเอนไซม์
-        ช่วยย่อยอาหารเพื่อให้ได้สารอาหาร
-        ช่วยเผาผลาญพลังงานและย่อยสลายไขมัน
-        ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
-        ช่วยป้องกันอาการอักเสบ ติดเชื้อ
-        ช่วยดูดซึม และนำพาอาหาร
-        ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
-        ขจัดสารพิษของร่างกาย/ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
-        ทำให้ฮอร์โมน วิตามิน เกลือแร่ และสารอื่น ๆ ทำงานตามคุณสมบัติ
เหตุผลที่กินเอนไซม์เสริม
จงทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย (Make it Simple) นักปรัชญาท่านหนึ่งกล่าวว่า มุมมองที่สำคัญของชีวิตคือ จงมองทุกสิ่งที่ยากให้เป็นเรื่องง่าย และกฎข้อแรกคือ ถ้าจำเป็นแต่ไม่มีก็หามาถ้าไม่พอก็เอามาเสริม””ฟังดูธรรมดาดีท่านจะนำไปใช้ในชีวิตจริงก็ไม่ผิดระเบียบอะไร

เอนไซม์เสริม (Enzyme Supplement)
ปู่ ย่า ตา ยายมีอายุยืนยาวอยู่กันมาได้โดยไม่ต้องกินอาหารเสริม หรือกินเอนไซม์เสริม ถือว่าโชคดี เพราะเกิดมาในขณะที่สิ่งแวดล้อมสะอาด อาหารสด ไม่มีการใช้ยาฆ่าแมลง ไม่มีการเติมสารเคมีให้พืชผัก ถ้าเราไปอ่านรายงานสถิติของกระทรวงสาธารณสุขย้อนหลังกลับไป จะพบว่าโรคหัวใจ เบาหวาน ข้ออักเสบ และมะเร็งในสมัยนั้น แทบจะไม่มีให้เห็น ซึ่งคำว่ามะเร็งในสมัยนั้น จะเป็นคำที่แปลกประหลาดไม่เคยได้ยินมาก่อน

ในระยะแรก วิตามิน และเกลือแร่ มีเพียง 2อย่างที่มีการมุ่งให้เป็นอาหารเสริมใน ค.ศ. 1930 (พ.ศ. 2473) Dr. Wolfe ชาวเยอรมันได้ค้นพบประโยชน์ และวิธีการใช้เอนไซม์ที่มาจากสัตว์ (Animal Enzyme) และในเวลาไล่เลี่ยกัน Dr. Howell ชาวอเมริกันได้ศึกษาประโยชน์ของเอนไซม์จากพืช ผลการศึกษา และวิจัยของทั้งสองท่านปูทางไปสู่การใช้เอนไซม์มาเป็นอาหารเสริมในปัจจุบัน (Enzyme Supplement)

การวิจัยในปี ค.ศ. 1940 (พ.ศ. 2483) ได้พิสูจน์ว่า ดี เอ็น เอ (DNA) ในเซลล์ของร่างกายเป็นผู้ควบคุมการผลิตเอนไซม์ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ เรามีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าขาดเอนไซม์ และถ้าเราแก่ตัวลงมาเมตาบอลิค เอนไซม์ก็จะผลิตได้น้อย เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ แท้ที่จริงเกิดจากพื้นฐานของการขาดเอนไซม์ (Low Enzyme Level)วิชาเอนไซม์ (Enzymology) เป็นวิชาใหม่เอี่ยมเกิดขึ้นประมาณ พ.ศ. 2528และการใช้เอนไซม์เสริม (Enzyme Supplement) เริ่มเป็นที่ยอมรับว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพก็ราว พ.ศ. 2538 นี้เอง

เอนไซม์ กุญแจดอกสำคัญที่กำหนดชะตาชีวิตทั้งมวล
ทุกชีวิตนับแต่เกิดจนตาย ทุกวินาทีดูดรับสารอาหารบำรุงที่เหมาะสมกับตัวไม่ว่างเว้น พร้อมเสริมสร้างร่างกายซ้ำแล้วซ้ำเล่า อย่างไม่หยุดยั้ง และทำลายเซลล์ที่เก่าแก่ (ของเสียเก่า ๆ) ออกไปจากร่างกาย การกระทำเช่นนี้เรียกว่า การขับถ่ายของเก่าออกไป และเสริมสร้างของใหม่ขึ้นมาแทนที่เอนไซม์เปี่ยมด้วยอานุภาพที่น่าทึ่ง อาหารทั้งหมดที่รับประทานเข้าไปนั้นล้วนอาศัยบทบาทการกระทำของเอนไซม์ในการย่อยสารอาหารที่สลับซับซ้อน ให้กลายเป็นสสารที่ละเอียดอ่อนก่อนที่จะดูดซึมเข้าไปในโลหิตได้ ดังนั้น ถ้าไม่มีเอนไซม์แม้จะกินอิ่มเพียงใดก็ไม่แคล้วจะต้องรับทุกข์ทรมานจากการขาดสารอาหารบำรุงร่างกายของคนเรา คือเรือนร่างที่ประกอบด้วยสารโปรตีนทั้งหมดที่มีต่อร่างกายเรา ยกเว้นโรคกระดูก และฟันแล้วล้วนเป็นโรคที่มีสาเหตุมาจากเซลล์ที่เกิดจากสารโปรตีนทั้งสิ้น การป่วยเป็นโรคคือ การเปลี่ยนแปลงของร่างกายชนิดหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงจะเป็นไปอย่างไม่ปกติแน่นอน เช่น การหลุดล่วงของเซลล์เก่า จะผลัดเปลี่ยนด้วยเซลล์ใหม่เสมอ กลุ่มเซลล์ที่เปลี่ยนแปลงแล้วจะถูกขับถ่ายออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเซลล์ใหม่จะเข้าแทนที่ เมื่อเป็นเช่นนี้ โรคทั้งหมดก็จะถูกขจัดไปโลกวิวัฒนาการตามความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ กุญแจดอกสำคัญที่ไขไปสู่ปริศนา ของบทบาททุกชีวิตเริ่มแจ่มชัดขึ้นนั่นคือ เอนไซม์

เอนไซม์แบบผสมที่ได้จาก พืชผัก ผลไม้นี้ มิเพียงสามารถปรับรักษาระบบการทำงานของอวัยวะ กระเพาะ ลำไส้ ตับ หัวใจ ปอดในร่างกายของเราเท่านั้น แต่ยังสามารถบรรเทาอาการของโรคมะเร็งให้ผ่อนเบาลงได้ เอนไซม์ชนิดนี้จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเซลล์ที่มีชีวิตอยู่มากยิ่งขึ้น และจะมีบทบาทในการละลายเซลล์ที่อยู่ในระยะเปลี่ยนแปลงของโรค (Pathological Change) ให้หมดไป

เอนไซม์ควรจะถือว่าสำคัญกว่าแก๊สออกซิเจนที่ใช้หายใจ
ชีวิตที่ปราศจากเอนไซม์จะไม่สามารถอยู่ได้ แต่อากาศหรือแก๊สออกซิเจนสำหรับหายใจสำคัญที่สุดต่อมนุษย์ แท้ที่จริงเป็นความสำคัญในระดับหนึ่งเท่านั้น เพราะแก๊สออกซิเจนที่เราต้องใช้หายใจเกิดจากปฏิกิริยาเคมีในพืชใบเขียวซึ่งผลิตเอนไซม์เป็นตัวเร่งโดยเปลี่ยนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ให้เป็นแก๊สออกซิเจนโดยมีแสงแดดเป็นตัวช่วย

ถ้าเอนไซม์ในร่างกายมีมากพอ
ถ้าเอนไซม์ในร่างกายมีมากพอ มนุษย์ อาจอายุยืนถึง 120ปี เพราะเซลล์ในร่างกายสามารถแบ่งตัวได้ตามกำหนดของโปรแกรมในนาฬิกาชีวิต ถ้าเอนไซม์ในร่างกายมีระดับต่ำ โอกาสที่จะป่วยเป็นโรคเรื้อรังต่างๆเกิดได้ง่ายมาก หนังสือ เอนไซม์ในอาหารว่า สุขภาพคือปฏิกิริยาเคมีของเอนไซม์ที่บูรณาการ เข้าด้วยกันอย่างมีระบบ จึงทำให้ทุกเซลล์ของร่างกายดำเนินไปอย่างปกติสุข

อายุมากขึ้นเอนไซม์ผลิตได้น้อยลง,คุณภาพต่ำ
การขาดเอนไซม์ย่อยอาหารมีได้หลายสาเหตุ แต่การขาดชนิดเดียวที่ตับอ่อนไม่สามารถแก้ไขได้ คือ การขาดเอนไซม์เนื่องจากมีอายุมากขึ้นหนุ่มสาวอายุ 21-31 ปี มีเอนไซม์อไมเลสในน้ำลายมากกว่ากลุ่มผู้สูงอายุ 69-100 ปี ถึง 30เท่า อายุมากขึ้น เอนไซม์ผลิตน้อยลงมาก แต่ความต้องการใช้ยังคงเหมือนเดิม การขาดแคลนเมื่ออายุมากขึ้นจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้

วิตามินหรือเกลือแร่สำคัญ
ถ้าไม่มีเอนไซม์ วิตามินก็คือเศษผงธรรมดาเซลล์ทั้ง 60 ล้านล้านเซลล์ ต้องใช้เอนไซม์เพื่อเร่งปฏิกิริยาเคมี ถ้าไม่มีเอนไซม์ ชีวิตจึงดำรงอยู่ไม่ได้วิตามิน เกลือแร่ คือ ตัวร่วมกับเอนไซม์ (Coenzyme) โดยตัวเองทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าไม่มีเอนไซม์ร่วมด้วย วิตามินและเกลือแร่ก็เปล่าประโยชน์เอนไซม์เป็นผู้สร้างเซลล์ สร้างอวัยวะ และสร้างชีวิต

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับเอนไซม์ คือ
1.       สิ่งมีชีวิตทุกชนิดสร้างเอนไซม์ขึ้นมาใช้เองด้วยความสามารถในการผลิตที่แตกต่างกัน
2.       เอนไซม์ เป็นตัวเร่งในการย่อยอาหารให้สมบูรณ์ ทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีคุณภาพ ถ้าย่อยได้ไม่ดี ถึงกินอาหารแสนดีก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น
3.       เอนไซม์ควบคุมและเร่งปฏิกิริยาเคมีทุกชนิด ถ้าไม่มีเอนไซม์ปฏิกิริยาเคมี จะเกิดช้าจนชีวิตไม่สามารถรอดได้
4.       เอนไซม์ แต่ละชนิดมีหน้าที่เฉพาะตัวและทำปฏิกิริยาเคมีจำเพาะกับสารตั้งต้นที่ถูกกำหนดเท่านั้น เอนไซม์ชนิดย่อยแป้งจะไม่ย่อยโปรตีน เอนไซม์ชนิดย่อยไขมันจะไม่ย่อยแป้ง
5.       เอนไซม์ถูกทำลายโดยง่ายที่ความร้อนสูงเกิน 118 องศาฟาเรนไฮด์คือ เอนไซม์เปราะบางมาก
6.       การแช่แข็ง ไม่ทำลายความสามารถของเอนไซม์
7.       การขาดเอนไซม์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะไม่รักษาสุขภาพของตนเอง บางกรณีเกิดจากปัญหากรรมพันธุ์
8.       เอนไซม์ ที่มีระดับต่ำ (Low Enzyme Level) ในร่างกายสัมพันธ์กับโรคของความเสื่อมต่างๆ (ถ้าเอนไซม์ต่ำมาก โรคแห่งความเสื่อมก็เกิดขึ้นมากตามมา)

ท่านใดที่ควรใช้เอนไซม์
-          ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง
-        ผู้ที่ภูมิต้านทานอ่อนและมักติดเชื้อง่าย เช่น วัณโรคโรคเอดส์ ผู้ป่วยก่อน หลังผ่าตัด สตรีก่อน หลังคลอด
-        ผู้ที่มีประสิทธิภาพตับไม่ดี เหนื่อยง่าย เช่น ตับอักเสบ
-        ผู้ที่มีประสาทอ่อนไม่ปกติ ตกใจง่าย เบื่ออาหาร
-        ผู้ที่มีกระเพาะลำไส้ไม่ดีแต่กำเนิดทำให้ผอมแห้งแรงน้อย
-        ผู้ที่การทำงานของประสาทไม่เต็มที่มักสลึมสลือกระปรกกระเปลี้ย
-        ผู้ที่มีร่างกายแก่ก่อนวัยเจ็บป่วยบ่อย
-        ผู้ที่มีอาการติดเชื้อแปลกๆทำให้ร่างกายเจ็บออดๆแอดๆ  
-       ผู้ที่เสี่ยงต่อโรคกรรมพันธุ์ เช่น มีญาติเป็นเบาหวาน มะเร็ง ปัญญาอ่อน โรคเลือดThalassemia


เอนไซม์ ช่วยแก้ปัญหาการทำงานผิดปกติของระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เช่น

-                      ระบบหัวใจ/หลอดเลือด เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิต ไขมันในเลือดสูง
-        ระบบทางเดินอาหาร การขับถ่าย เช่น โรคกระเพาะ โรคลำไส้อักเสบ ริดสีดวงทวาร มะเร็ง กระเพาะ/ลำไส้ ท้องผูกอาหารไม่ย่อย โรคนิ่ว ถุงน้ำดีอักเสบ โรคไตอักเสบ/ไตวาย ต่อมลูกหมากโต/มะเร็ง โรคตับ
-                ระบบทางเดินหายใจ/ระบบภูมิคุ้มกัน เช่น โรคไซนัสอักเสบ หลอดลมอักเสบ โรคภูมิแพ้ หอบหืด โรคปอด ไข้หวัดใหญ่ โรคหัดต่างๆ ช่วยขจัดสารพิษ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
-                 ระบบผิวหนัง เช่น กลาก เกลื้อน บำรุงผิวพรรณ สิว ฝ้า รักษาจุดด่างดำปวดเมื่อยลำตัว/ปวดหลัง โรคเก๊าท์ โรคกระดูกพรุน/กระดูกอักเสบ/ไขข้ออักเสบ/รูมาติซึม
-                     ระบบต่อมไร้ท่อ  เช่น โรคเบาหวาน ต่อมไทรอยต์อักเสบ
-                     ระบบสืบพันธุ์ เช่น ความผิดปกติของประจำเดือน รักษาความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ
-                     ระบบสร้างเม็ดเลือด เช่นโรคโลหิตจาง โรคลูคิเมีย


เอนไซม์กับโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานแบ่งได้เป็นสองชนิด คือ ตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ และตับอ่อนสร้างอินซูลินมากเกินไป ซึ่งอินซูลินคือฮอร์โมนที่สร้างมาจากตับอ่อน  ทำหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลเป็นกลูโคสและเปลี่ยนเป็นไกลโคเจน  และถ้าร่างกายมีไกลโคเจนมาก  ก็จะเปลี่ยนเป็นไขมัน ปกติร่างกายคนเราสามารถย่อยอาหารจำพวกแป้ง ข้าว น้ำตาลได้ แต่เมื่อใดก็ตาม ที่อาหารพวกนี้โดนความร้อน เอนไซม์ในอาหารจะถูกทำลายทันที เมื่อไม่มีเอนไซม์ อาหารก็ย่อยยาก ย่อยยากก็สะสมมาก เมื่อสะสมน้ำตาลในเส้นเลือดมาก ร่างกายก็หลั่งอินซูลินมาก เมื่ออินซูลินมีมาก ก็นำน้ำตาลไปเก็บได้มากซึ่งจะทำให้ร่างกายขาดน้ำตาล  เมื่อขาดน้ำตาลเราก็จะเพลีย เราจะกินเพิ่ม เช่น การกินจุกจิก เป็นวัฏจักรอย่างนี้ตลอดไป ตับอ่อนก็จะทำงานหนักตลอดไป จนวันหนึ่งตับอ่อนก็จะหมดสภาพ ไม่สามารถทำงานได้
เอนไซม์ : จะช่วยย่อยอาหารที่เรากิน โดยเฉพาะเอนไซม์ไลเปสจะช่วยย่อยไขมันในเส้นเลือดซึ่งเป็นตัวที่ย่อยยากที่สุดในร่างกายเรา ทำให้ตับอ่อนไม่เกิดอาการบวมเพราะทำงานหนักและทำให้ตับอ่อนได้พักผ่อนอย่างเต็มที่  จนมันสามารถทำงานได้อย่างปกติได้อีกครั้ง

เอนไซม์กับมะเร็ง
อวัยวะของเรา ประกอบด้วยเซลล์ ซึ่งเป็นหน่วยย่อยที่สุดของชีวิตจำนวนมากมาย เซลล์เหล่านี้เมื่อถึงอายุขัยก็จะถูกทำลายลง ในขณะที่จะมีการสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนด้วย ขบวนการแบ่งตัวของเซลล์ถูกควบคุมให้เป็นระเบียบด้วยหน่วยทางพันธุกรรมในเซลล์เอง และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่มีหน้าที่จัดการกับสิ่งแปลกปลอม หรือพวกเซลล์ไม่พึงประสงค์ทั้งหลาย แต่หากขบวนการธรรมชาติเหล่านี้ถูกรบกวน ระบบควบคุ้มป้องกันเอียงเสียศูนย์ไปเมื่อไหร่เมื่อนั้นก็อาจจะโดนโรคมะเร็งถามหา
เนื่องจากเซลล์มะเร็งที่อยู่ในร่างกายเรา จะถูกปกคลุมไปด้วยเยื่อหุ้มจำพวกโปรตีนทำให้ร่างกาย เข้าใจว่าเซลล์มะเร็งเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเรา ระบบภูมิคุ้มกันจึงไม่สามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้ ดังนั้น เมื่อไม่สามารถแยกได้ระหว่างเซลล์ดีกับเซลล์ไม่ดี ทางการแพทย์เมื่อต้องการทำลายเซลล์มะเร็ง จึงต้องทำลายทั้งเซลล์ดีและเซลล์ไม่ดี ทำให้ร่างกายอ่อนแออย่างมาก
เอนไซม์ : ท่านที่มีเชื้ออยู่เมื่อรับประทานเอนไซม์เข้าไปแล้วเอนไซม์จะเข้าไปทำลายเยื่อหุ้ม จำพวกโปรตีนที่ปกคลุมเซลล์มะเร็ง เมื่อเซลล์มะเร็งไม่มีอะไรปกคลุมมันร่างกายก็จะเจอและส่งเม็ดเลือดขาวไปทำลายเซลล์มะเร็งได้ นอกจากนี้เอนไซม์ยังช่วยล้างสารพิษในร่างกายฟื้นฟูระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ที่สำคัญช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและยังสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งและซ่อมแซมเซลล์ที่ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระได้อีกด้วย

เอนไซม์กับโรคนิ่ว
นิ่วนั้นเกิดจากการตกผลึกของหินปูนแคลเซี่ยมหรือโคเลสเตอรอล สาเหตุนั้นเกิดจากความไม่สมดุลของระบบในร่างกายหรือบางทีอาจเกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งการตกผลึกของสารเหล่านี้อาจเกิดขึ้นเพียงก้อนเดียว หรืออาจเป็นหลายก้อนเล็กๆ หลายๆก้อนก็ได้ ส่วนมากเกิดในคนที่มีโคเลสเตอรอลสูง ผู้ป่วยเบาหวาน หญิงที่มีบุตรแล้ว ผู้ที่เป็นทาลัสซีเมีย โรคโลหิตจาง ในปัจจุบันไม่มียาที่กินแล้วหายจากโรคนี้ได้ทันที ต้องกินยารักษาไปตลอดชีวิตซึ่งยานั้นก็มีราคาแพงมาก
เอนไซม์: มีหน้าที่หลักในการย่อยแล้ว เอนไซม์จะไปย่อยพวกหินปูน แคลเซี่ยมและโคเลสเตอรอลให้หลุดออกจากส่วนที่มันไปอุดตัน และยังช่วยนำพาของเหล่านี้ออกจากร่างกายได้โดยการขับถ่ายปัสสาวะ และทางผิวหนังได้อีกด้วย

เอนไซม์กับโรคเอดส์
เอดส์เกิดจากเชื้อไวรัสเป็นเชื้อโรคอีกชนิดหนึ่ง ที่อาศัยเศษโปรตีนมาหุ้มตัวมันไว้ทำให้ร่างกายตรวจไม่พบ จึงไม่สามารถทำลายมันได้ ดร.จอห์น ไกเซอร์(จากสมาคมแพทย์อเมริกา) เขียนรายงานไว้ว่า ได้ใช้เอนไซม์กับผู้ป่วยเอดส์ โดยมีเอนไซม์โปรตีเอสเป็นตัวหลัก พิสูจน์ได้ว่าได้ผลดีในการกำจัดเชื้อไวรัสเอดส์ และทำให้ภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยฟื้นฟู โดยสามารถหยุดการแบ่งตัวของไวรัสได้ถึงร้อยละ 99 เลยทีเดียว ยาที่มีเอนไซม์เป็นส่วนประกอบหลักตัวนี้ชื่อ ABT-583ได้ให้ผลการรักษาดีกว่ายา AZT ซึ่งเป็นยาที่ดีที่สุดในปัจจุบันถึง 10เท่า โดยดูจากการหยุดแบ่งตัวของไวรัสเป็นตัววัด
เอนไซม์: ประกอบไปด้วยเอนไซม์มากกว่า 370ชนิด จึงสามารถย่อยเศษโปรตีนที่หุ้มไวรัสเอดส์ได้ และเมื่อไม่มีกำแพงกั้นภูมิคุ้มกันของร่างกายก็สามารถทำลายเชื้อ เอช ไอ วี ได้


เอนไซม์กับโรคภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้ เกิดจากเอนไซม์ในร่างกายมีระดับต่ำเกินไป แบ่งได้เป็น 2ชนิด คือ ชนิดแรก เมื่อมีเอนไซม์ต่ำ การย่อยอาหารจึงไม่สมบูรณ์เมื่อการย่อยไม่สมบูรณ์ก็เกิดสารอาหารที่มีโมเลกุลใหญ่กว่าปกติและมีสารพิษตกค้าง โดยสารอาหารที่มีโมเลกุลใหญ่กว่าปกตินั้นร่างกายจะไม่รู้จักและจะทำการกำจัดทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ตัวเองขึ้น ส่วนสารพิษที่ตกค้างเมื่อไม่มีเอนไซม์กำจัดมันก็จะถูกส่งออกจากร่างกายทางผิวหนังทำให้เป็นผื่นคัน บางทีก็ถูกส่งไปในเยื่อหุ้มเซลล์ของจมูกทำให้เกิดการจามการคัดจมูกแต่ถ้ามันถูกส่งไปที่เยื่อหุ้มเซลล์ของคอก็จะเกิดการคันระคายเคืองคอ ซึ่งอาการเหล่านี้ก็คือโรคภูมิแพ้นี่เอง ชนิดที่สอง เนื่องจากร่างกายต้องนำอาหารที่เรากินไปสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย เมื่อเรามีเอนไซม์ต่ำร่างกายก็ไม่สามารถนำอาหารที่เรากินไปสร้างภูมิคุ้มกันได้ ทำให้เรามีภูมิคุ้มกันต่ำ เมื่อเจอฝุ่นละอองควันอากาศเปลี่ยนแปลงก็ทำให้ป่วยได้ง่าย
เอนไซม์: เอนไซม์เสริม ช่วยให้อาหารย่อยได้สมบูรณ์ เมื่อการย่อยอาหารสมบูรณ์ก็จะไม่เกิดสารอาหารโมเลกุลใหญ่ที่ร่างกายคิดว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม และยังมีเอนไซม์บางชนิดเรียกว่าเอนไซม์ขับไล่ จะทำหน้าที่จับสิ่งแปลกปลอมสารพิษและเปลี่ยนให้อยู่ในรูปที่กำจัดทิ้งได้ทำให้ไม่มีสารพิษส่งไปตามส่วนต่างๆของร่างกายทำให้เราไม่เกิดอาการแพ้



เอนไซม์กับโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
เกิดจากการที่ร่างกายของเรา มีสิ่งแปลกปลอมมาเกาะระบบเส้นประสาทและเส้นเลือด ทำให้ปลายมือ ปลายเท้าชา สมองวิงเวียนเพราะระบบโลหิตไหลเวียนไม่สะดวก และถ้านานวันเข้ามันก็จะเกาะจนทำให้ระบบต่างๆ อุดตันก็จะเกิดอาการอัมพาตอย่างที่เราเป็นกัน ถ้าสิ่งแปลกปลอมเป็นจำพวกไขมัน โคเลสเตอรอล เศษโปรตีนฯ สิ่งเหล่านี้ร่างกายสามารถย่อยสลายเองได้ ท่านจึงเห็นได้ว่า บางคนเป็นอัมพาตแล้วสามารถหายเองได้ แต่ถ้าสิ่งอุดตันเป็นจำพวกโลหะหนัก สารตะกั่วหรือสารเคมีต่างๆ สิ่งเหล่านี้ต้องกำจัดโดยการย่อยสลายด้วยเอนไซม์เท่านั้น
เอนไซม์: เราจะสามารถหายจากโรคเหล่านี้ได้ เพียงแต่ระยะเวลาอาจต่างกัน เหมือนท่อน้ำที่มีพลาสติกผูกปลาย น้ำก็ไม่ไหล หรือมีดินอุดตันทั้งท่อน้ำก็ไม่ไหลเหมือนกัน เปรียบดังคนที่มีสิ่งแปลกปลอมอุดตันระบบประสาท ถ้าอุดตันแค่ตรงปลายก็อาจจะหายได้ในเร็ววัน แต่ถ้ามันอุดตันทั้งเส้น ก็อาจต้องใช้ความอดทนในการรอคอยสักระยะหนึ่ง จึงจะหายเป็นปกติได้


เอนไซม์กับอาการท้องผูกเรื้อรัง
อาหารที่เรากินแล้วไม่ย่อยจะตกค้างในลำใส้ใหญ่ เมื่อเกิน 6ชั่วโมงอาหารที่ไม่ย่อยนี้จะเริ่มบูดเน่าคายสารพิษออกมา เส้นเลือดฝอยในลำไส้ใหญ่ก็จะดูดซึมเข้าระบบภายในร่างกาย ทำให้สารพิษถูกพาไปทุกแห่งทุกอวัยวะในร่างกาย และถ้ากากอาหารที่บูดเน่าอยู่นาน หรือเรื้อรังจะเกิดหลอดเลือดฝอยในลำไส้ใหญ่ตอนปลายทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก คั่งอยู่และบวมจนก่อให้เกิดอาการริดสีดวงทวาร อาจส่งผลทำให้เกิดมะเร็งลำไส้อีกด้วย
เอนไซม์ : จะช่วยล้างสารพิษในร่างกาย และช่วยฟื้นฟูระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่ายให้กลับสู่สภาวะปกติ ที่สำคัญช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดดียิ่งขึ้น


เอนไซม์บำบัด กับ โรคข้อเข่าเสื่อม
ในปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมให้หายได้ จุดมุ่งหมายในการรักษาทุกวิธีก็คือ ลดอาการปวด ทำให้เคลื่อนไหวข้อได้ดีขึ้น ป้องกันหรือแก้ไขการผิดรูปร่างของข้อ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตประจำวันหรือทำงานได้เป็นปกติ การกินยาแก้ปวดหรือการผ่าตัด ถือว่าเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ ถ้าผู้ป่วยยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตประจำวัน และไม่บริหารข้อเข่าผลการรักษาก็จะไม่ดีเท่าที่ควร
เอนไซม์ : จะช่วยสร้างระบบกล้ามเนื้อให้กลับมาแข็งแรงและลดอาการปวดต่างๆที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด

เอนไซม์กับความดันโลหิตสูง
เปรียบเหมือนสายยางรดน้ำต้นไม้ มีน้ำไหลเป็นจังหวะ การปิดเปิดของก๊อกเมื่อเปิดน้ำเต็มที่น้ำไหลผ่านสายยาง ย่อมทำให้เกิดแรงดันน้ำขึ้นในสายยางนั้น และเมื่อปิดหรือหรี่ก๊อก น้ำไหลน้อยลง แรงดันในสายยางก็ลดลงด้วย ระบบหัวใจและหลอดเลือดก็เป็นระบบไหลเวียนของเลือดทั่วร่างกาย เลือดไหลแรงดี ความดันก็ดี หากหัวใจบีบตัวไม่ดี เลือดไหลอ่อน ความดันก็ลดลง นอกจากนั้นแล้วความดันในหลอดเลือดยังขึ้นกับสภาพของหลอดเลือดด้วย หากหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นดี จะปรับความดันได้ดี ไม่ให้สูงเกินไป แต่หากหลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น หรือแข็งตัวก็จะทำให้ความดันเปลี่ยนแปลงไปด้วย
เอนไซม์ : จะช่วยฟื้นฟูการทำงานของระบบหัวใจ ระบบหลอดเลือดให้กลับสู่สภาวะปกติ และปรับความสมดุลภายในร่างกาย

เอนไซม์กับโรคสะเก็ดเงิน
เป็นโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ที่พบบ่อยชนิดหนึ่งเกิดจากหลายปัจจัยประกอบกัน ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรคหรือสารเคมีที่เป็นพิษต่อผิวหนังโดยตรงแต่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลงานพันธุกรรม หรือยีนที่ผิดปกติหลายชนิดร่วมกับปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกร่างกายที่ไม่เหมาะสมมากระตุ้นให้โรคปรากฏขึ้นอาการผื่นผิวหนังเป็นได้หลายรูปแบบ ที่พบบ่อยคือผิวหนังอักเสบเป็นปื้นแดงลอกเป็นขุย เป็นๆหายๆ ผู้ป่วยบางรายเป็นเฉียบพลันแล้วผื่นก็หายไปบางรายเป็นผื่นผิวหนังอักเสบเรื้อรังความผิดปกติอื่นๆที่อาจพบได้คือความผิดปกติที่เล็บข้ออักเสบเป็นต้นผู้ป่วยอาจมีอาการผิดปกติของเล็บหรือปวดข้อนำมาก่อนหรือเกิดขึ้นพร้อมๆกับอาการผื่นผิวหนังอักเสบเป็นต้น
เอนไซม์ : จะช่วยฟื้นฟูและบำบัดผิวหนังที่มีอาการอักเสบให้กลับสู่ภาวะปกติ

เอนไซม์กับโคเลสเตอรอล(สาเหตุสำคัญของโรคหัวใจขาดเลือด)
โดยทั่วไปเมื่อคนเราอายุมากขึ้น ผนังของหลอดเลือดแดงจะแข็งตัวขึ้น ทำให้ขาดความยืดหยุ่น ถ้ามีแผ่นคราบไขมัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโคเลสเตอรอล มาเกาะติดที่ผนังด้านใน จะทำให้หลอดเลือดแดงตีบแคบลง เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง เมื่อเป็นมากขึ้น เลือดจะไหลผ่านไม่ดี เกิดเป็นก้อนอุดตันได้ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ ที่ทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด จากการศึกษาในประชากรทั่วโลก พบว่า ผู้ใหญ่ที่มีระดับโคเลสเตอรอลในเลือด สูงเกินกว่า 260 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จะมีอุบัติการณ์ของโรคหัวใจขาดเลือด สูงกว่าคนที่มีระดับโคเลสเตอรอลในเลือด น้อยกว่า 220 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ประมาณ 3-5เท่า

เอนไซม์ : จะช่วยฟื้นฟูการทำงานของระบบเลือด ระบบหลอดเลือด ลดความข้นเหนียวของเลือด ให้กลับสูสภาวะปกติ และปรับความสมดุลภายในร่างกาย ที่สำคัญช่วยลดอัตราความเสี่ยงสำหรับการเกิดโรคหัวใจได้

เอนไซม์กับโรคตับ
ความจริงคำว่าโรคตับมีความหมายค่อนข้างกว้าง อาจจะหมายถึงผู้ที่เป็นพาหะของโรคตับอักเสบบี ซึ่งสภาพตับโดยทั่วไปแล้ว ไม่ได้แตกต่างจากคนปกติทั่วไปเท่าไรนัก ไปจนถึงผู้ที่เป็นโรคตับแข็ง ซึ่งอาจจะมีอาการดีซ่าน บวม หรือท้องมานก็ได้ ซึ่งหมายถึงมีการเสื่อมสภาพของตับไปมาก สำหรับผู้ป่วยที่เป็นตับแข็ง คงต้องการ การดูแลเป็นพิเศษ เนื่องจากยาหลายชนิดต้องถูกกำจัดโดยผ่านตับ การที่ตับมีการทำงานบกพร่องเนื่องจากโรคต่าง ๆ เช่น ตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง อาจทำให้มีการสะสมของยามากจนเกิดโทษ ผู้ที่เป็นโรคตับแข็งไม่ควรรับประทานยาลดไข้พวก เกินกว่าวันละ 1500 mg หรือทานติดต่อกันนานเกิน 3วัน อย่างไรก็ตามในผู้ที่เป็นตับอักเสบเล็กน้อย หรือพาหะของตับอักเสบบี สามารถทาน paracetamolได้ ในขนาดปกติ สำหรับยาแก้ปวดนั้นผู้ที่เป็นตับแข็งควรหลีกเลี่ยงยาแก้ปวด พวกที่เป็นแอสไพรินทั้งหลาย เนื่องจากยากลุ่มนี้มีผลทำให้เลือดที่ไปเลี้ยงไตลดลงจนอาจทำให้มีการเสื่อม หน้าที่ของไต หรือไตวายได้ ควรหลีกเลี่ยงไปใช้ยาแก้ปวดกลุ่มอื่นแทน

เอ็นไซม์ : จะช่วยล้างสารพิษในร่างกาย และช่วยฟื้นฟูระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่ายให้กลับสู่ภาวะปกติ ที่สำคัญช่วยให้ระบบไหลเวียนของระบบเลือด ทำงานดียิ่งขึ้น

เอนไซม์กับโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ
โรคคอพอกเป็นพิษ ต่อมไทรอยด์ ซึ่งอยู่ที่ลำคอด้านหน้า ต่ำกว่าลูกกระเดือกเล็กน้อย ทำหน้าที่สร้างและหลั่ง ฮอร์โมนไธรอยด์ออกสู่กระแสเลือด เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ โดยเฉพาะหัวใจและประสาท โรคคอพอกเป็นพิษ เป็นการเสียสมดุลของฮอร์โมนไธรอยด์ โดยไม่ทราบสาเหตุและไม่เกี่ยวข้องกับอาหารทะเล แต่มีปัจจัยบางอย่างที่เกี่ยวข้อง คือ ระบบประสาทถูกฮอร์โมนไทรอยด์กระตุ้นมากขึ้น ทำให้อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย ถูกกระตุ้นให้ทำงานผิดปกติได้เช่นเดียวกัน มือสั่น ตกใจง่าย ลำไส้ถูกกระตุ้น ทำให้ถ่ายอุจจาระวันละหลายๆ ครั้ง กล้ามเนื้อบริเวณต้นแขนและขามักอ่อนแรง บางครั้งเมื่อนั่งยองๆ ก็ลุกไม่ไหว ประจำเดือนอาจมาน้อย หรือห่างออกไป นัยน์ตาอาจโตโปนถลน หรือหนังตาบนหดรั้งขึ้นไป ทำให้เห็นตาขาวข้างบนชัดดูคล้ายคนดุ

เอนไซม์ : จะช่วยฟื้นฟูการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อ ให้กลับสู่สภาวะปกติ

วิธีการใช้เอนไซม์
เอนไซม์ต้องดื่มขณะท้องว่าง การกินเอนไซม์เป็นอาหารเสริม เพื่อให้ทำลายโมเลกุลโปรตีนที่แปลกปลอมเข้ามาในเลือด ต้องดื่มเวลาท้องว่างคือ 30 นาที ถึง 1ชั่วโมง ก่อนอาหาร หรือ 2 ชั่วโมง หลังอาหาร เอนไซม์จะซึมเข้ากระแสเลือดได้ภายใน 5 นาที มิฉะนั้นจะหมดเปลืองไปจากการทำหน้าที่ย่อยอาหารเสียก่อน ถ้ากรณีมีอาหารอยู่ในกระเพาะจนไม่เข้ากระแสเลือดตามต้องการการดื่มเอนไซม์เสริม จะเลือกวิธีใดแล้วแต่จุดประสงค์ของการใช้ จะดื่มเอนไซม์เสริมขนาดเท่าใด เมื่อไร ขึ้นอยู่กับสภาวะความรู้สึกไม่ค่อยสบายของท่าน ทางการแพทย์ถือว่า คนสองคนไม่เหมือนกัน””ถึงแม้จะทำโคลนนิ่งก็ตามการบกพร่องของเอนไซม์แต่ละคนไม่เท่ากันขนาดของเอนไซม์ที่จะใช้เป็นอาหารเสริมจึงไม่สามารถกำหนดให้เป็นตัวเลขที่ตายตัวได้โดยความเห็นของเภสัชกร จะกำหนดให้ดื่ม ครั้งละ 1-2 ซอง วันละ 3ครั้ง จึงต้องสังเกตด้วยตัวท่านเองว่าดื่มเท่าใด จะเหมาะสมกับตนเอง อาการดีขึ้นหรืออาจลดขนาดลง และทุกครั้งที่ดื่มเอนไซม์ ต้องดื่มน้ำตามอย่างน้อย 1แก้ว
เนื่องจากเอนไซม์รวมจากธรรมชาติ มีพลังการทำงานหลากหลาย การใช้เอนไซม์ชนิดเดียวกัน ก่อนหรือหลังอาหาร จะให้ผลการใช้ที่แตกต่างกัน ดังนั้นผู้ใช้ควรทำความเข้าใจพื้นฐานของการใช้เอนไซม์สำหรับผู้ที่ต้องการใช้เอนไซม์เพื่อแก้ปัญหาในระบบการย่อย และดูดซึมอาหาร เช่น ท้องอืด ท้องผูก โรคกระเพาะ โรคลำไส้ ควรดื่มเอนไซม์หลังอาหาร 30 นาที วันละ 2-4ครั้ง

วิธีดื่มเอนไซม์
นำผงเอนไซม์ 1-2ซอง ผสมกับน้ำอุ่น 1 แก้ว (250 CC.) แล้วดื่มให้หมดภายใน 30 นาทีเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ควรผสมกับน้ำอุ่นที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส

วิธีการใช้เอนไซม์
1. ถ้าต้องการใช้เอนไซม์ช่วยย่อยอาหารทันที
          ชงเอนไซม์ 1-2ช้อน ในน้ำอุ่น รับประทานก่อนอาหารทันที
2. ถ้าต้องการใช้เอนไซม์เพื่อฟื้นฟูสุขภาพและดูแลโรคเสื่อมต่างๆ
         ชงเอนไซม์ 1-2 ช้อนในน้ำอุ่น    รับประทานก่อนอาหาร ½ ช.ม.- 1 ช.ม. หรือตอนท้องว่างวันละ 4เวลา

อาการตอบรับจากการใช้เอนไซม์
หลังจากกินเอนไซม์แล้วจะเกิดอาการต่าง ๆ ปรากฏตามร่างกายหรือจะปวดบางแห่งภายในร่างกาย  นั่นเป็นเพราะเอนไซม์กับออกซิเจนเข้าไปทำปฏิกิริยาตามจุดที่เป็นโรค  มีเชื้อโรค  มีอาการอักเสบ  และมีสารพิษในร่างกาย  ทำให้อวัยวะส่วนที่เคยหยุดทำงานให้กลับฟื้นคืนทำงานได้ตามปกติ  เช่น  สิ่งสกปรกค้างในลำไส้มาช้านาน  เริ่มมีการขับถ่ายจะเกิดอาการปวดท้อง  เป็นต้น  หรือสารพิษในร่างกายเกิดการเคลื่อนย้ายก็มีอาการปวดเกิดขึ้นเช่นกัน  เช่น  โรคไขข้อ  โรคเก๊าท์  อัมพฤก อัมพาต  เป็นต้น  เป็นที่น่ายินดีกับท่านที่มีอาการเช่นนี้  เพราะแสดงว่า เอนไซม์สามารถช่วยบำบัดอาการต่าง ๆ ของโรคได้ตรงที่ตรงจุด และสามารถหายได้เป็นปกติเหมือนเดิม บางคนตื่นตกใจ คิดว่า  โรคภัยไข้เจ็บกำเริบขึ้น หรือเป็นผลข้างเคียงจากการทานเอนไซม์ อันที่จริงการเกิดอาการเช่นนี้ใช่ว่าจะเกิดกับทุกคนที่ดื่มเอนไซม์  ผู้ที่ร่างกายแข็งแรงจะเกิดอาการนี้ไม่มากนัก  สำหรับผู้ที่ร่างกายไม่สมบูรณ์มีโรคภัยไข้เจ็บมาก ๆ เนื่องจากเซลล์ในร่างกายตายไปแล้วไม่สามารถตอบสนองการสร้างเซลล์ใหม่ ก็จะไม่มีอาการต่าง ๆ ตามร่างกายมากนัก ส่วนผู้ที่กินแล้วเกิดอาการต่าง ๆ ตามร่างกายที่เด่นชัด คือ ผู้ป่วยที่มีร่างกายกึ่งสมบูรณ์  ที่สามารถตอบรับการสร้างเซลล์ใหม่แทนเซลล์เก่าได้ น่ายินดีที่ผู้ป่วยที่มีโอกาสฟื้นฟูร่างกายจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้
 
ตัวอย่างอาการตอบรับที่อาจแสดงออกมาตามโรค
ปัญหาสุขภาพ
อาการตอบรับที่อาจแสดงออก
ผู้มีกรดยูริกมาก
ง่วงนอน  คอแห้ง  ลิ้นแห้ง  กลางคืนจะปัสสาวะมาก และผายลมบ่อย
ความดันโลหิตสูง
ปวดศรีษะ  ความดันจะสูงขึ้น  บางครั้งอาเจียน
โลหิตจาง
ร้อนบริเวณหน้าอก  ไม่เจริญอาหาร
กระเพาะเป็นแผล
จุดที่กระเพาะเจ็บจะมีอาการเจ็บมากขึ้น มีกลิ่นปาก มีอาการคล้ายโรคบิด
โรคลำไส้
มีอาการคล้ายโรคบิด
โรคหัวใจ
หายใจถี่ ไม่สม่ำเสมอ อารมณ์หงุดหงิด  ปวดศรีษะ
โรคปอด
บ้วนเสมหะ  มีอาการเหมือนโรคหืด  ไอ ปวดนิดๆ
โรคไต
เจ็บไต  ปัสสาวะเพิ่มและเปลี่ยนสี  อ่อนเพลีย  คันตามตัว  ขาบวม
โรคไซนัส
น้ำมูกจะมากขึ้น
โรคเบาหวาน
ตัวบวม  คันตามตัว  ปากแห้ง น้ำตาลลด-เพิ่ม สายตามัว
โรคผิวหนัง
มีอาการผดผื่น คัน
โรคริดสีดวงทวาร
ขับถ่ายมีเลือดเพิ่ม
ปวดศรีษะซีกเดียว
ประสาทดีขึ้น เวลาหลับจะหลับสนิท
โรคตับ
ระบายลมที่ข้างในหน้าอก  วิงเวียนศรีษะ  อาเจียน  ออกเหลืองทั่วตัวคล้ายดีซ่าน คันทั้งตัวคล้ายอีสุกอีใส  กระหายน้ำ  อ่อนระโหยโรยแรง อุจจาระมีเลือด  ท้องผูก
ไมเกรน
มีอาการปวดศรีษะติดต่อกันหลายวัน
ต่อมไทรอยด์อักเสบ
คันตามตัว  ตัวบวม  ปวดเมื่อย
ความดันต่ำ
รูจมูก โพรงปาก มีเลือดไหลซึม ๆ
โรคเก๊าท์
โรคไขข้อ บริเวณที่อักเสบจะปวดเมื่อยมากขึ้น
โรคลมตะกัง
มีอาการปวดศรีษะติดต่อกันหลายวัน
โลหิตหมุนเวียนไม่สะดวก
ปวดเมื่อยทั้งตัว  เหน็ดเหนื่อย เกียจคร้าน
ประจำเดือนมาไม่ปกติ
คันตามช่องคลอด  ประจำเดือนอาจติดออกมาเป็นก้อน (เป็นการระบายของเสีย) ประจำเดือนมามาก อาจมาก่อน-หลังกำหนด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการขับถ่ายของเสียเป็นตัวกำหนด
ประสาทอ่อน
กลางคืนนอนไม่หลับ เช้าปกติ ไม่ง่วงนอน

อาการตอบรับหลังจากการดื่มเอนไซม์  อาจเกิดขึ้นได้ภายใน 1วันจนถึงภายใน 1 – 2 เดือน ระยะเวลาที่มีอาการ และความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้น ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์แข็งแรงของแต่ละบุคคล  เช่น คนคนเดียว อาจเกิดอาการหลายครั้ง และอาจไม่เรียงลำดับตามข้างต้น ถ้าทนไม่ไหว ควรลดปริมาณการทานเอนไซม์ลงเหลือครึ่งหนึ่งในแต่ละครั้ง และดื่มน้ำอุ่นตามมาก ๆ อาการตอบรับที่เกิดขึ้น แสดงว่าร่างกายกำลังได้รับการฟื้นฟู  เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการดูแลสุขภาพ  อย่าหยุดใช้เอนไซม์ในช่วงนี้อย่างเด็ดขาด  มิฉะนั้นการดูแลสุขภาพจะเป็นแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ซึ่งจะไม่เกิดประสิทธิผลอะไรเลย เมื่อร่างกายได้ผ่านพ้นจากช่วงปฏิกิริยาตอบรับการบำบัดแล้วนั้นหมายถึงร่างกายท่านได้เริ่มฟื้นฟู คืนสู่สุขภาพปกติแข็งแรงอีกครั้งหนึ่ง  สารพิษและเซลล์ผิดปกติส่วนใหญ่ได้รับการขับออก  ร่างกายมีอาการดีขึ้นมาก มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ เบิกบาน เปล่งปลั่ง อารมณ์ดี อย่างไรก็ตามหลังจากที่ร่างกายกลับสู่สภาวะที่ดีแล้ว  ก็ควรดื่มเอนไซม์ต่อไปเรื่อย ๆ  อาจลดปริมาณการใช้ลงเหลือ 1-2ครั้งต่อวันควบคู่กันกับการควบคุมด้านโภชนาการ เพื่อรักษาสภาวะสมดุลของระดับเอนไซม์ในร่างกาย และขจัดสารพิษที่ยังค้างอยู่ให้ออกไป ซึ่งเป็นการดูแลสุขภาพในเชิงรุกแบบบูรณาการ

ตัวอย่างการทำงานของเอนไซม์
การกินไข่ขาวดิบๆ จะมีสารชื่อ อไวดิน (Avidin) เป็นตัวห้ามการทำงานของเอนไซม์ (Enzyme inhibitor) โดยจะเข้าไปเบียดและแซงโคเอนไซม์ (Coenzyme) ซึ่งเป็นวิตามินบี (ไบโอติน– Biotin) ทำให้ไม่สามารถจับกับเอนไซม์คู่ของมันได้ตามปกติ ผลก็คือ เกิดขาดวิตามินบีได้ ไข่ขาวดิบๆ จึงไม่ควรกินเป็นประจำ การลวกไข่จะทำให้อไวดินถูกทำลายด้วยความร้อนจึงปลอดภัยในการบริโภค
การทำงานหนัก การออกกำลังกายมากเกินไปการออกกำลังกายระบบการเผาผลาญอาหารต้องทำงานเพิ่มขึ้น ถ้าแข่งกีฬาซึ่งต้องเอาแพ้เอาชนะกัน ยิ่งต้องใช้พลังงานสูงมาก ย่อมหมดเปลืองเอนไซม์ โลกมนุษย์ในยุคสารเคมีใช้กันอย่างฟุ่มเฟือย หลังจาก ค.ศ. 1930เป็นต้นมา ได้มีการใช้สารเคมีเพื่อการอุตสาหกรรม การปฏิวัติทางการเกษตรกรรม และการเร่งผลผลิต เพิ่มขึ้น ทั้งพืชและสัตว์จึงได้รับสารเคมีต่างๆ เข้ามาสะสมในตัวตั้งแต่ลืมตาดูโลก มนุษย์ได้สารเคมีปนเปื้อนผ่านมาทางวงจรอาหาร ทำให้เอนไซม์ในอาหารและในตัวคนเสื่อมคุณภาพ เกิดการขาดแคลนเอนไซม์ขึ้น  พวกเราทุกคนกำลังอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยมลพิษ (Polluted World) เอนไซม์ในร่างกายจึงขาดแคลน ปัญหาจะมีมากถ้าเป็นเด็กเล็กๆ ซึ่งสมองกำลังพัฒนามนุษย์สมัยใหม่มีรสนิยมในการกินของที่ผ่านการหุงต้ม (Cooked Food) มากกว่าอาหารดิบ (Raw Food)คนส่วนใหญ่พอใจที่จะกินอาหารที่ปรุงแต่ง อาหารที่อาบรังสี อาหารที่ใช้วิธีปิ้ง ย่าง มากกว่าอาหารดิบ เพราะชอบในความปลอดภัยจากเชื้อจุลินทรีย์ การที่เราปิ้งหรือย่างเนื้อสัตว์ทำให้เราสูญเสียเอนไซม์ในอาหาร และยิ่งถ้ามีอายุมากขึ้นเอนไซม์ในตัวเราก็ลดต่ำลง การย่อยโปรตีนจึงมีอุปสรรค ไม่ได้สารอาหารกรดอะมิโน (Amino Acid) ร่างกายจะขาดกรดอะมิโน ซึ่งจะนำมาใช้ในการผลิตเอนไซม์ของร่างกาย ดังนั้นผู้ที่อายุเกิน 40ปีขึ้นไป การใช้เอนไซม์เสริมจึงจะสร้างความมั่นใจว่าจะไม่ขาดเอนไซม์

ข้อควรระวัง ห้ามใส่น้ำร้อนจัดในเอนไซม์ เพราะทำให้เอนไซม์เสื่อม
อาหารที่ควรยกเว้น อาหารเค็ม รสจัด น้ำอัดลมทุกชนิด น้ำส้มสายชู น้ำตาลทรายขาว ผงชูรส ของหมักดอง แอลกอฮอลทุกประเภท บุหรี่ 


ราคาปลีก 1500 บาท
ราคาสมาชิก 750 บาท คะแนน 250 PV
บรรจุ 250 กรัม ต่อกระป๋อง 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น